บทความสมุนไพรสมุนไพรสำหรับใช้รากปรุงยาสมุนไพรสำหรับใช้หัวใต้ดินปรุงยาสมุนไพรสำหรับใช้ใบปรุงยา

พลับพลึงตีนเป็ด


ชื่อสมุนไพร : พลับพลึงตีนเป็ด
ชื่อเรียกอื่นๆ : พลับพลึงกทม.
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hymenocallis littorolis (Jacq.) Salisb.
ชื่อสามัญ : Spider Lily และ Giant Lily
วงศ์ : AMARYLLIDACEAE



PPTP2

พลับพลึงตีนเป็ดเป็นพรรณไม้ที่ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการแยกกอและวิธีการเพาะเมล็ด สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินทั่วๆ ไป ชอบความชื้นสูง ชอบแสงแดดเต็มวันและแสงแดดแบบรำไร สามารถทนแล้งและทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี หากต้องการให้ออดอกมากให้ปลูกกลางแจ้ง แต่ถ้าต้องการให้มีใบสวนงามให้ปลูกในพื้นที่ที่มีแสงแดดรำไร ประโยชน์พลับพลึงตีนเป็ด เนื่องจากดอกพลับพลึงตีนเป็ดมีกลิ่นหอม จึงนิยมนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ประดับตามสวน ริมน้ำตก ลำธาร ตามริมถนนหนทาง ริมทะเล สามารถทนน้ำขังแฉะได้ หรือจะปลูกไว้ในอาคารก็ได้เช่นกัน อีกทั้งยังเป็นพืชที่สามารถทนอยู่ในดินแฉะที่ไม่ค่อยมีการระบายน้ำ หรือแม้แต่ในดินที่แห้งแล้ง จึงนิยมปลูกกันทั่วไปในภาคกลางเพราะเป็นพืชที่ทนทานและไม่ต้องการบำรุงรักษามากนัก ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์นั้นพลับพลึงตีนเป็ดเป็นพืชมีพิษ มีลักษณะของลำต้นคล้ายกับพลังพลึงขาวมาก จึงอาจทำให้สับสนได้ อีกทั้งใบมีสารในกลุ่มอัลคาลอยด์ที่มีชื่อว่า “Lycorine” ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านไวรัสที่ทำให้เป็นโรคโปลิโอและโรคหัด
PPTP4
ลักษณะสมุนไพร :
พลับพลึงตีนเป็ดเป็นจัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีความสูงของต้นประมาณ 0.5 เมตร ลำต้นมีหัวอยู่ใต้ดิน หัวมีลักษณะเป็นกลีบๆ เรียงเวียนเป็นวงซ้อนอัดกันแน่นเป็นลำต้นเทียม เติบโตเป็นช่อชู ส่วนของใบขึ้นมาอยู่เหนือดิน และแตกเป็นกอ ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงเวียนสลับถี่รอบลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ปลายใบเรียวมนถึงแหลมทู่ โคนใบแผ่เป็นกาบหุ้มลำต้น ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 4-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 100-120 เซนติเมตร ปลายใบอ่อนโค้งลง แผ่นใบหนา สีเขียวเป็นมัน ออกดอกเป็นช่อแบบช่อซี่ร่มที่กลางต้น แต่ละช่อมีดอกอยู่ประมาณ 4-8 ดอก ดอกเป็นสีขาวและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ก้านช่อดอกแข็งและค่อนข้างแบน มีความยาวประมาณ 30-45เซนติเมตร  ดอกย่อยจะเกิดแบบเดี่ยวๆ บนปลายก้านของดอกย่อย ดอกมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปเรียวยาว ส่วนกลีบดอกโคนกลีบดอกติดกันเป็นหลอด ปลายกลีบแยกเป็นแฉก 6 แฉก มีส่วนที่ยื่นออกมาเป็นรูปแถบเรียวเล็ก เมื่อดอกบานเต็มที่แล้วจะมีขนาดกว้างประมาณ 8-10 เซนติเมตร สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี แต่จะออกดอกมากในช่วงฤดูฝน ผลเป็นแบบแห้งแตก (Capsule) ภายในผลมีเมล็ดลักษณะกลมสีดำ

 PPTP1

ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์ : ราก, ใบ และ หัว
สรรพคุณทางยา :

  1. ราก ทำให้อาเจียน และมีอาการท้องเดิน
  2. ใบ ทำให้อาเจียน และมีอาการท้องเดิน แก้อาการฟกช้ำ บวม เคล็ดขัดยอก ใช้อยู่ไฟหลังคลอดสำหรับสตรี ต้านไวรัสที่ทำให้เป็นโรคโปลิโอและโรคหัด มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อ HIV
  3. หัว ทำให้อาเจียน และมีอาการท้องเดิน ยาขับเสมหะ ยาระบาย ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับน้ำดี

 PPTP3

วิธีการใช้ :                                     

  1. ทำให้อาเจียน และมีอาการท้องเดิน นำรากมาต้มน้ำ ดื่มรับประทาน
  2. ทำให้อาเจียน และมีอาการท้องเดิน ต้านไวรัสที่ทำให้เป็นโรคโปลิโอและโรคหัด มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อ HIV นำใบมาต้มน้ำ ดื่มรับประทาน
  3. แก้อาการฟกช้ำ บวม เคล็ดขัดยอก ใช้อยู่ไฟหลังคลอดสำหรับสตรี นำใบนำมาย่างกับไฟแล้วใช้พันแก้อาการฟกช้ำ บวม เคล็ดขัดยอก และใช้อยู่ไฟหลังคลอดสำหรับสตรี
  4. ทำให้อาเจียน และมีอาการท้องเดิน ยาขับเสมหะ ยาระบาย ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับน้ำดี นำหัวมาต้มน้ำ ดื่มรับประทาน

ถิ่นกำเนิด :
พลับพลึงตีนเป็ดเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชีย

 





.